พิธีปิดหรือกั้นประตู
เมื่อขบวนขันหมากของฝ่ายชายเดินทางมาถึงบ้านของฝ่ายหญิง บรรดาญาติพี่น้องของฝ่ายหญิง จะออกมา กั้นประตู โดยถือสร้อยเงิน สร้อยทอง หรือผ้าแพรคนละฝั่งเพื่อทำเป็นประตู ซึ่งถ้าอิงประเพณีดั้งเดิมนั้นมีหลัก ๆ เพียง 3 ประตู คือ ประตูชัย ประตูเงิน และประตูทอง (ตามลำดับ) แต่ก่อนที่ฝ่ายชายจะผ่านแต่ละประตูไปจะต้องบอก ชื่อประตูให้ถูกต้อง และต้องให้ซองแถมพก (ซองใส่เงิน) แก่ผู้เฝ้าประตู ส่วนสาเหตุที่ต้องบอกชื่อประตูนั้น ก็เพื่อเป็น อาณัติสัญญาณบอกให้รู้ว่าใครเป็นใคร แต่ทว่าการกั้นประตูในปัจจุบันนั้นเห็นจะมุ่งเน้นไปที่ การต่อรอง ขอค่าผ่านประตู ในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นกุศโลบายของคนโบราณให้เกิดการหยอกล้อเพื่อความสนุกสนานเสียมากกว่า หลังจาก ผ่านประตูทุกด่านเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายหญิงจะจัดเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ถือพานรองหมากพลูไว้รอเชิญขบวนขันหมาก ของเจ้าบ่าวขึ้นเรือน ซึ่งเจ้าบ่าวต้องเตรียมซองเงินไว้เป็นรางวัล สำหรับเด็กที่มารอรับขบวนขันหมาก
พิธีนับสินสอด
ในพิธีการนับสินสอดนั้นจะกระทำต่อหน้าสักขีพยานของทั้งสองฝ่าย โดยมีผู้ใหญ่ของทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย เป็นผู้ดูแลให้เป็นไปตามขั้นตอน การนับสินสอดนั้นจะเริ่มโดยการวางเงินสินสอดบนผ้าแดงหรือผ้าเงินผ้าทอง จากนั้น ฝ่ายหญิงจะทำการตรวจนับตามธรรมเนียมประเพณี ด้วยเงินสินสอดนั้นโบราณเข้าให้ใส่เกินจำนวนไว้เล็กน้อย เพราะเมื่อถึงเวลาที่ฝ่ายหญิงทำการตรวจนับจะได้ร้องอุทานว่า “เงินเกิน” หรือ “เงินงอก” เป็นเคล็ดว่าต่อไปครอบครัว จะได้มีเงินไหลมาเทมา เสร็จแล้วญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจะทำการโปรยถั่ว ข้าวตอก ดอกไม้ ฯลฯ ลงบนสินสอด จากนั้นแม่ฝ่ายเจ้าสาวจะห่อสินสอดด้วยผ้าและแบกขึ้นไว้บนบ่า (ตามประเพณีต้องแบกขึ้นบนบ่าเท่านั้น) และให้พูด เอาเคล็ดว่า “ห่อนี้หนักเสียจริง ๆ คงมีเงินทองงอกเงยออกมามากมายเต็มบ้านเต็มเรือน”
พิธีสวมแหวนหมั้น
จะกระทำต่อหน้าสักขีพยานเช่นกัน ซึ่งในที่นี้หมายถึง บิดา มารดา และญาติสนิท รวมถึงเพื่อนฝูงของทั้งฝ่ายชาย และฝ่ายหญิง ซึ่งเมื่อถึงฤกษ์ที่เป็นมงคลแล้วฝ่ายชายจึงทำการสวมแหวนหมั้นให้แก่ฝ่ายหญิง จากนั้นฝ่ายหญิง จะรับไหว้พร้อมกับสวมแหวนแลกกับฝ่ายชาย แต่ที่จริงแล้วของหมั้นนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นแหวนเสมอไป อาจใช้สร้อยคอ กำไล ทองแท่งเป็นของหมั้นก็ได้ แต่ที่นิยมเลือกแหวนก็เพราะเป็นของมีค่าที่ทั้งสองคนสามารถใส่ติดตัวได้ตลอดเวลา
พิธีหลั่งน้ำพระพุทธมนต์
พิธีหลั่งน้ำพระพุทธมนต์หรือเรียกง่าย ๆ ว่าการรดน้ำสังข์นั้น เริ่มจากการจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วจึงไปนั่งบนตั่งรดน้ำที่เตรียมไว้ โดยให้ฝ่ายหญิงนั่งทางซ้ายและฝ่ายชายนั่งทางขวา ตลอดการรดน้ำเพื่อนเจ้าบ่าว และเพื่อนเจ้าสาวฝ่ายละ 2 คนยืนประกบอยู่ด้านหลังที่สำคัญต้องเป็นคนโสด จากนั้นเถ้าแก่หรือพ่อแม่ของคู่บ่าวสาว จะสวมมาลัยและมงคลคู่พร้อมกับเจิมที่หน้าผากและเริ่มรดน้ำก่อนตามด้วยญาติผู้ใหญ่ แขกเหรื่อที่อาวุโสกว่า ตามด้วยญาติมิตรและเพื่อนฝูงตามลำดับ พิธีนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญของพิธีแต่งงานเลยทีเดียว เพราะเมื่อทำการ หลั่งน้ำพระพุทธมนต์เรียบร้อยแล้ว ก็เป็นอันว่าชายหญิงคู่นั้น ๆ เป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามธรรมเนียม
พิธีรับไหว้
หลังพิธีรดน้ำเสร็จสิ้นจะเป็นพิธีไหว้ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือเพื่อเป็นการฝากเนื้อฝากตัว ถ้าเป็นพ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ต้องกราบ 3 ครั้ง ส่วนญาติคนอื่น ๆ ให้กราบเพียงครั้งเดียวไม่ต้องแบมือ แล้วจึงส่งพานธูปเทียนให้ ผู้ใหญ่จะรับไหว้และให้พร พร้อมกับใส่เงินลงในพานให้เป็นเงินทุน บางแห่งอาจมีการผูกข้อมือด้วยสายสิญจน์ ในขณะอวยพร
พิธีปูที่นอนและส่งตัวเข้าหอ
พิธีนี้จัดได้ว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายของคืนแต่งงาน สิ่งของมงคลที่ต้องเตรียมคือ ฟักเขียวลูกหนึ่ง หม้อใหม่ใส่น้ำใบหนึ่ง หินบดยา และถั่วงาพร้อมทุนสินสอดวางไว้บนพาน แล้วนำไปวางไว้ข้างที่นอนเพื่อเป็น เครื่องหมายสำหรับอำนวยพรว่า “ให้คู่บ่าวสาวมีใจเย็นเสมือนน้ำฟัก มีน้ำใจหนักดั่งศิลา มีแต่ความจำเริญ
วัฒนาเหมือนถั่วงา” จากนั้นผู้ใหญ่ฝ่ายบ่าวสาวจึงจัดแจงวางหมอนหนุนศีรษะ และให้ผู้ใหญ่คู่ที่ได้รับเชิญมา จัดทำพิธีนี้ลงนอนก่อนเป็นปฐมฤกษ์ กล่าวให้ศีลให้พรแล้วจึงออกมาจาห้องหอ
พิธีจัดเลี้ยง
ขึ้นอยู่กับความสะดวกของคู่บ่าวสาว
ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก :: นิตยสาร BRIDE
พิธีหลั่งน้ำพระพุทธมนต์